HOME
health everyday
health everyday

เรื่องราวสุดเฮลท์ตี้ที่คุณต้องแชร์

เรื่องราวจาก Unif Guru

เรื่องราวจากสมาชิก

Health Me Vote จาก Unif Guru

Health Me Vote จากสมาชิก
health GURU
health GURU

เติมไอเดียสุขภาพดี กับเทคนิค
สุด Healthy จากกูรูด้านสุขภาพ

ดูวิดีโอทั้งหมด
unif products
unif products

เครื่องดื่มสำหรับคนรักสุขภาพจากยูนิฟ

Unif 100%

Unif Fresh+

Unif Fresh Delight

Heritea

Unif Pro Fiber

Unif Daily Mate

Unif All You Need

Unif Fresh

Fruiti

Bale

Unif Salad
online shop
online shop

ช่องทางสั่งซื้อออนไลน์

Lazada

Shopee
ABOUT US
About us

เกี่ยวกับเรา

เกี่ยวกับ Unif Health Wallet Community

เกี่ยวกับ Unif

ติดต่อเรา

health & beauty

5 เคล็ดลับสุขภาพดี สวยปิ๊งไม่แก่ไว

เมื่อพูดถึง “ความแก่ชรา” หลายคนคงรู้สึกขนลุกกันอยู่เบาๆ อยากจะวิ่งหนีแต่ก็ไม่พ้นเพราะในทุกๆ วินาที ทุกๆ วัน ร่างกายของเราจะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ ที่สังเกตได้เลยคือเรี่ยวแรงเริ่มน้อยลง นอนไม่ค่อยหลับ โรคภัยไข้เจ็บเริ่มถามหาอยู่บ่อยๆ แต่ที่เห็นได้ชัดเจนเลยคือริ้วรอยบนใบหน้า! ร่องรอยของอายุที่มากขึ้น ผิวแห้งไม่อิ่มฟูแต่งหน้าไม่ค่อยติด ดื่มน้ำเท่าไหร่ก็เติมความชุ่มชื้นไม่เคยเต็ม ที่เป็นแบบนี้เพราะร่างกายเรากำลังเสื่อมตามวัย หรือที่เรียกว่า Biological Aging นั่นเอง แต่ไม่ต้องกังวลเรื่องความแก่มากจนเกินไป ถ้าอยากจะโกงอายุก็ต้องสู้ชีวิตอย่าให้ชีวิตสู้กลับดูแลตัวเองให้มากขึ้นอีกหน่อย และนี่คือ 5 เคล็ดลับที่จะทำให้สุขภาพดีไม่แก่ก่อนวัย

เครียดนัก! ก็พักหน่อย

ต่อมหมวกไตเป็นอวัยวะที่มีหน้าที่ผลิตฮอร์โมนความเครียดหรือ “ฮอร์โมนคอร์ติซอล” (Cortisol) เมื่อไหร่ก็ตามที่รู้สึกเครียด ไม่สบายใจ วิตกกังวล ต่อมหมวกไตจะค่อยๆ ผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมา ซึ่งเจ้าฮอร์โมนตัวนี้ถ้ามีเยอะมากๆ จะเข้าไปกดการทำงานของเม็ดเลือดขาวให้ทำงานได้น้อยลง นั่นหมายความว่าภูมิคุ้มกันก็จะลดลงตามไปด้วย กลายเป็นว่าทำให้ร่างกายเสื่อมเร็วขึ้นส่งผลให้ปวดคอ ปวดหลัง ปวดหัวได้ง่าย นอนตื่นเช้ามาไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ความสมดุลฮอร์โมนในร่างกายลดลง การทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายก็มีประสิทธิภาพลดลง เกิดโรคได้ง่ายเช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคอ้วนหรือโรคเบาหวาน ที่สำคัญฮอร์โมนคอร์ติซอลยังทำให้ร่างกายสร้างอนุมูลอิสระ (Free Radical) มากขึ้น อนุมูลอิสระจะเข้าไปทำลายอีลาสตินและคอลลาเจนใต้ผิวหนังให้สลายและเสื่อมเร็วมากขึ้นกลายเป็นว่าความเด้งเต่งตึง ความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นของใบหน้าก็จะลดน้อยลงไปด้วยเพราะผิวเกิดความเครียดจากคอร์ติซอลที่ถูกผลิตออกมา

เพราะฉะนั้นถ้าไม่อยากให้ร่างกายเสื่อมไวกว่าคนอื่นต้องเริ่มต้นด้วยการจัดการความเครียดในชีวิตประจำวันซะก่อน บริหารจัดการการเวลาและการทำงานให้ดีขึ้น หาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ หาของกินอร่อยๆ ออกกำลังกายปลดปล่อยพละกำลังและใช้สติจัดการกับอารมณ์และความเครียดที่เกิดขึ้น

ชะลอความเสื่อม...แค่เติมสารต้านอนุมูลอิสระ

ในทุกกิจกรรมของร่างกายไม่ว่าจะเป็นหายใจ ย่อยอาหาร นอนหลับหรือนั่งเฉยๆ ทุกกิจกรรมที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดการสันดาป (Oxidation) ในร่างกายและเกิดเป็นอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวอนุมูลอิสระเป็นอิเล็กตรอนเดี่ยวที่ต้องการจับคู่กับเซลล์ในร่างกาย โดยจะจับคู่ได้ดีกับเซลล์โปรตีน ไขมันและ DNA ถ้าอนุมูลอิสระเข้าไปจับกับโปรตีนในร่างกายก็อาจจะทำให้ผิวหนังเหี่ยวย่นเกิดริ้วรอยมากขึ้น ถ้าไปจับกับไขมัน (Lipid) ในเซลล์ต่างๆ ก็อาจจะทำให้เกิดเป็นมะเร็งขึ้นมาได้ หรือถ้าไปจับกับ DNA ก็จะทำลายโครงสร้างดีเอ็นเอ แต่ทุกคนไม่ต้องตกใจไปร่างกายเรามีความฉลาดมากพอที่สร้าง “สารต้านอนุมูลอิสระ” (Antioxidant) ที่เป็นตัวกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกายเพื่อให้เกิดความสมดุลระหว่างอนุมูลอิสระและสารต้านอนมูลอิสระ

แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ร่างกายกำจัดอนุมูลอิสระได้ไม่ดีหรือไม่ออกกำลังกาย เครียด หรือนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอก็จะทำให้เกิดความไม่สมดุล (Oxidative Stress) ซึ่งทำให้ร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยได้ง่าย และที่สำคัญยังทำให้แก่ก่อนวัย (Aging Process) อีกด้วย ถ้าไม่อยากให้เซลล์ในร่างกายเสื่อมเร็วต้องหมั่นเติมสารต้านอนุมูลอิสระให้กับร่างกายไม่ว่าจะเป็น วิตามินซี วิตามินอี โคเอ็นไซม์คิวเท็น (Q10) โอเมก้า3 (Omega 3) และวิตามินดี หรือเลือกกินอาหารซุปเปอร์ฟู้ดที่อุดมไปด้วยสารต้นอนุมูลอิสระอย่างแคโรทีนอยด์ ซึ่งพบมากในผักที่มีสีเขียว สีเหลืองและสีส้มก็ได้เช่นกัน

อายุร่างกายเด็กกว่าอายุจริงได้ด้วยการออกกำลังกาย

ทุกคนรู้กันดีอยู่แล้วว่าการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยให้สุขภาพดีร่างกายแข็งแรง แต่รู้หรือไม่ว่าการออกกำลังกายอย่างน้อย 150 นาที/สัปดาห์ ยังช่วยชะลอความเสื่อมของร่างกายหรือช่วยชะลอวัยได้อีกด้วย! โดยมีงานวิจัยที่พบว่าการออกกำลังกายมีส่วนในการช่วยให้เส้นเทโลเมียร์ (Telomere) มีความยาวมากขึ้น ซึ่งความยาวที่มากขึ้นบ่งบอกถึงอายุที่ยืนยาวรวมถึงความแข็งแรงของร่างกายที่มากขึ้นตามไปด้วย เพราะฉะนั้นในคนอายุเท่ากันหรือวัยเดียวกันอาจมีความยาวของเส้นเทโลเมียร์ที่ไม่เท่ากันก็ได้เพราะพฤติกรรมการดูแลสุขภาพไม่เหมือนกัน

โดยในคนที่เป็นภูมิแพ้อากาศ ไม่สบายบ่อยๆ หรือเป็นโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) อย่างโรคหัวใจ โรคอ้วน โรคความดันโลหิต ส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการขาดการออกกำลังกายเพราะการออกกำลังกายนอกจากจะช่วยชะลอวัยแล้วยังช่วยฝึกกล้ามเนื้อมัดต่างๆ ในร่างกายรวมถึงกล้ามเนื้อหัวใจให้เต้นได้เป็นปกติ เมื่อหัวใจเต้นได้ปกติดีเป็นจังหวะออกซิเจนก็สามารถลำเลียงไปยังอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย และทำให้อวัยวะทุกส่วนทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นั่นหมายความว่าร่างกายของเราก็แข็งแรงมากขี้นนั่นเอง

บาลานซ์ฮอร์โมนดี ชีวิตก็ดีตามไปด้วย!

ร่างกายของคนเรามีกระบวนการทำงานที่ซับซ้อนมาก “ฮอร์โมน” (Hormone) เป็นตัวที่ช่วยทำให้การทำงานที่ซับซ้อนในร่างกายทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น คอยทำหน้าที่สื่อสารการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย เพื่อให้อวัยวะและระบบในร่างกายทำงานได้ปกติ ฮอร์โมนแต่ละชนิดก็ทำหน้าที่แตกต่างกันแต่จะมีฮอร์โมนอยู่ 2 ชนิด ที่ยิ่งมีน้อยก็อาจยิ่งทำให้ร่างกายยิ่งเสื่อมเร็วและยิ่งแก่ได้ไวมากขึ้น

ฮอร์โมนตัวแรกที่สำคัญกับการชะลอวัยคือ “โกรทฮอร์โมน” (Growth Hormone) เป็นฮอร์โมนที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโต ช่วยในการแบ่งเซลล์ สร้างกล้ามเนื้อ ช่วยเสริมการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย โกรทฮอร์โมนจะหลั่งออกมาได้ดีในช่วง 4 ทุ่มถึงตี 2 เป็นช่วงเวลาในการกอบโกยฮอร์โมนตัวนี้ จะเห็นได้เลยว่าเด็กที่นอนเร็วจะตัวสูงร่างกายแข็งแรง และในผู้ใหญ่ที่นอนเร็วเก็บเกี่ยวโกรทฮอร์โมนได้ดีจะสังเกตได้เลยว่าผิวจะแลดูสุขภาพดีมีความยืดหยุ่น มีความชุ่มชื้น รอยเหี่ยวย่นจะน้อยกว่าคนที่นอนน้อยนอนดึก

และที่สำคัญคือโกรทฮอร์โมนจะถูกผลิตได้น้อยลงตั้งแต่ช่วงอายุ 25 ปีเป็นต้นไป ดังนั้นวัยทำงานที่อดหลับอดนอนนอนไม่พอหรือนอนดึกอยู่บ่อยๆ สังเกตได้เลยว่าหน้าจะโทรมกว่าคนอื่น ริ้วรอยและความชุ่มชื้นของผิวจะน้อยลงมากและสุขภาพจะไม่แข็งแรงเพราะร่างกายสร้างโกรทฮอร์โมนออกมาได้ไม่เต็มที่ไม่เพียงพอและยังส่งผลให้ร่างกายเสื่อมเร็วแก่เร็วกว่าเพื่อนที่อายุเท่ากัน

นอกจากนี้ฮอร์โมนเพศอย่างฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน (Testosterone) ก็มีส่วนสำคัญและสัมพันธ์กับความเสื่อมของร่างกายด้วยเหมือนกัน หลังจากอายุ 30 เป็นต้นไปฮอร์โมนเพศจะค่อยๆ ผลิตน้อยลงเรื่อยๆ จนกระทั่งอายุ 50 ก็จะเริ่มเข้าสู่ช่วงวัยทองวัยที่ขาดความสมดุลของฮอร์โมน สังเกตผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทองได้เลยคือ ประจำเดือนหมด ส่วนผู้ชายจะมีความต้องการเพศที่น้อยลงและอวัยวะเพศจะไม่ค่อยแข็งตัว

เมื่อไหร่ก็ตามที่ฮอร์โมน 2 ตัวนี้น้อยลงหรือขาดไปร่างกายจะเริ่มเปลี่ยนแปลงเพราะฮอร์โมนแปรปรวนไม่สมดุล ผิวหนังจะเริ่มแห้งกร้าน อารมณ์จะเริ่มสวิงมากขึ้น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย นอนไม่ค่อยหลับ และร่างกายจะเริ่มเสื่อมเร็วมากขึ้นกว่าปกติเพราะความไม่สมดุลในร่างกาย ใครที่ไม่อยากเป็นวัยทองควรเริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ด้วยการออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอและควรเข้านอนในช่วงเวลา 4 ทุ่มถึงตี 2 ผู้หญิงควรกินน้ำเต้าหู้หรือบร็อคโคลี่ที่มีส่วนช่วยในการปรับสมดุลฮอร์โมนเอสโตรเจน ส่วนผู้ชายควรกินวิตามินซิงค์หรือไข่แดงที่มีส่วนช่วยในการปรับสมดุลฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน

น้ำตาลกินให้ดีก็มีประโยชน์!

ใครว่าน้ำตาลไม่มีประโยชน์! ถ้ากินในปริมาณที่เหมาะสม “น้ำตาล” ก็นับว่าเป็นอาหารที่จำเป็นในการให้พลังงานให้กับร่างกายในหมวดหมู่เดียวกับคาร์โบไฮเดรต ซึ่งสังเกตดูได้เลยว่าการกินของหวานหลังมื้อกลางวันหรือกินขนมหวานช่วงบ่ายมักจะทำให้เรารู้สึกสดชื่นมีพลังในการทำงานมากขึ้นเพราะร่างกายได้รับน้ำตาลที่เป็นพลังงานเข้าไปนั่นเอง

องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้กำหนดปริมาณการกินน้ำตาลต่อวันเอาไว้ “ไม่ควรกินน้ำตาลเกินวันละ 6 ช้อนชาต่อวัน” แน่นอนว่าอาจจะเป็นเรื่องที่ยากในบางคนเพราะคนไทยติดกินอาหารที่มีน้ำตาลสูงไปแล้วเพราะเจอได้ง่ายในชีวิตประจำวันเช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน กาแฟ ขนมปัง หรืออาหารที่ต้องปรุงเพิ่มอย่างก๋วยเตี๋ยวไม่ว่าจะปรุงพริกเติมน้ำตาลหรือแม้แต่อาหารตามสั่งทั่วไปที่แต่ละร้านมีสูตรเฉพาะที่เติมน้ำตาลลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติ และแน่นอนว่าน้ำตาลก็เจอได้บ่อยในผลไม้รสชาติหวานๆ ด้วยเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นทุเรียน ลำไย สับปะรด มะม่วง ฯลฯ พอนับๆ ดูเฉลี่ยแล้วคนไทยกินน้ำตาลไปประมาณ 28 ช้อนชา/วัน เกินกว่าจำนวนที่แนะนำไว้มากถึง 4 เท่า

การกินน้ำตาลที่มากเกินไปเป็นประจำอาจส่งผลเสียกับร่างกาย นอกจากจะทำให้อ้วนมากขึ้นแล้ว ก็อาจทำให้แก่ก่อนวัยได้อีกด้วยเพราะว่าใต้ผิวหนังมีโปรตีนหรือคอลลาเจน (Collagen) และอีลาสตินที่คอยพยุงให้ผิวหนังเต่งตึง น้ำตาลส่วนเกินจะเข้าไปจับอีลาสตินและโปรตีนกลายเป็น Advanced glycation end products (AGEs) ที่ทำให้อีลาสตินและโปรตีนใต้ผิวหนังเสื่อมสภาพเร็วมากขึ้นกลายเป็นริ้วรอย รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าและผิวหนังไม่อิ่มฟู น้ำตาลที่ไม่ถูกเผาผลาญให้เป็นพลังงานยังกลายเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระและการอักเสบภายในร่างกายทำให้เจ็บป่วยง่ายมากขึ้นอีกด้วย

แต่อย่าเพิ่งตกใจไปเพราะน้ำตาลยังจำเป็นและมีประโยชน์กับร่างกายอยู่ ในคนที่ติดกินหวานหรือชอบหาของว่างกินช่วงบ่าย ลองปรับมากินผลไม้เช่น แอปเปิ้ล มังคุด แก้วมังกร หรือผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่ให้ทั้งรสชาติหวานและยังมีวิตามินที่เป็นประโยชน์กับร่างกาย เพราะหนึ่งในความหวานของผลไม้เป็นความหวานจากน้ำตาลฟรุกโตส (Fructose) น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวจากธรรมชาติที่ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้เร็วส่งผลต่อระดับน้ำตาลในเลือดน้อย แต่ไม่ว่าจะเป็นความหวานในรูปแบบไหนก็ควรทานแต่พอดี เพื่อสุขภาพที่ดีเฮลท์ตี้ในระยะยาว!

“อายุจะเป็นเพียงแค่ตัวเลขเท่านั้น แค่เริ่มใส่ใจดูแลสุขภาพทั้งการกิน การนอนและการออกกำลังกาย พร้อมปรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตจะได้ชะลอวัยไม่ให้ชราไว”

น้องแคร์ยู

ENJOY WITH
UNIF FAMILY

เครื่องดื่มยูนิฟแบบไหนที่ใช่คุณ

เดลี่ เมท มัทฉะ

บล็อกไขมันใหม่ เบิร์นไขมันเก่า ดูดีได้แม้ไม่ออกกำลังกาย

ยูนิฟสลัด

สลัดดื่มได้ ชีวิตง่ายยิ่งกว่าง่าย

ยูนิฟ โพรไฟเบอร์

เพราะสุขภาพดี เริ่มต้นที่ลำไส้

Heritea

ชา Exclusive Blend ดื่มด่ำรสชาติแห่งความภูมิใจ ที่เราอยากให้คุณลอง

ยูนิฟ เฟรช พลัส

พลัสคุณประโยชน์อีกขั้น ให้ทุกวันเต็มที่

บาเล่

ชานมกลิ่นบราวน์ชูการ์

ยูนิฟ ฟรุ๊ตติ

หอม สดชื้น สุดจี๊ด วิตามินซีสูง

ยูนิฟ ออลยูนีด

เติมเต็มวิตามิน A B C E
พร้อมไฟเบอร์สูง ช่วยเรื่องขับถ่าย

ยูนิฟ100%

เติมเต็มผักทุกวันง่ายๆ
ด้วย ยูนิฟ100%

ยูนิฟ เฟรช

อร่อย สดชื่นได้ประโยชน์

ยูนิฟ เฟรช ดีไลท์

รสชาติผลไม้หน้าร้อน
อร่อย สดชื่น

Unif Online shop

เติมแต้มสุขภาพได้แล้ววันนี้ พร้อมเลือกดูโปรโมชั่น
ที่ Unif Online Shop บน Online Marketplace

ดูโปรโมชั่นทั้งหมด

Reviews
from health member

รีวิวจากสมาชิกเฮลท์คลับ

{{comment_all}} Reviews

+{{item.image.length-3}}

อ่านรีวิวเพิ่มเติม

เขียนรีวิวเลย

UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET