5 เคล็ดลับคุณแม่ยุคใหม่เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีความสุข

mom & kid

5 เคล็ดลับคุณแม่ยุคใหม่เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีความสุข

5 เคล็ดลับคุณแม่ยุคใหม่เลี้ยงลูกอย่างไรให้มีความสุข

          สำหรับคุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่ที่จะต้องทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วย ไหนจะเครียดจากการทำงานนอกบ้าน ไหนจะต้องมาปวดหัวกับการเลี้ยงลูก ซึ่งลูกแต่ละวัย แต่ละช่วงอายุจะมีสิ่งที่ต้องรับมือแตกต่างกันไป ทำอย่างไรที่จะให้ทั้ง 2 อย่างไปได้ด้วยดีที่ทั้งเราและลูกจะต้องไม่รู้สึกกดดันในตัวเอง และใช้ชีวิตในแต่ละวันให้มีความสุขมากที่สุด 😊 แม่ไข่อยากจะขอแชร์เคล็ดลับการดูแลลูกที่รู้สึกว่าตัวเองแฮปปี้และลูกก็มีความสุข เผื่อจะเป็นประโยชน์ให้กับคุณพ่อคุณแม่นะคะ


1. ไม่กดดันตัวเองและลูกจนเกินไปในทุกเรื่อง

          เชื่อว่าคุณพ่อคุณแม่ทุกคนจะต้องมีความคาดหวังในตัวลูก แม้ว่าปากจะบอกว่า “ไม่” แต่มันก็จะต้องมีแว้บเข้ามาในหัวบ้างแหละ แม่ไข่ก็เคยเป็นค่ะ จำได้ว่าที่เปลี่ยนความคิดของแม่ไปเลยก็ตอนที่เมลลี่สอบวิชาภาษาไทยได้ 78 คะแนน คุณแม่ก็บอกกับลูกว่าเทอมหน้าขอ 80 ได้มั้ย ถ้าไม่ได้แม่จะนั่น นี่ คือตั้งกฏเพื่อให้ลูกทำตามและเกิดความคาดหวังไปแล้ว ซึ่งไม่คิดว่ากับ 2 คะแนนนั้นทำให้ลูกกดดันมากแค่ไหนเมื่อผลสอบออกมาว่าลูกได้ 79 เพิ่งจะรู้ว่าลูกเสียใจที่สุดและผิดหวังมากมาย ซึ่งแม่เองก็คาดหวังว่าลูกเราได้ 90-100 เกือบทุกวิชาแล้วทำไมวิชานี้จึงไม่ได้ ซึ่งรู้สึกผิดมากๆ ในวันนั้น

ในความจริงแล้วควรจะเปลี่ยนคำพูดใหม่ว่า “ไม่เป็นไรนะลูกเทอมหน้าเอาใหม่ แม่เชื่อว่าลูกแม่ทำได้ แค่ 2 คะแนนสบายมาก” พอเปลี่ยนคำพูดใหม่ไม่ดุ ไม่ว่า แต่เป็นการให้กำลังใจ ทั้งลูกก็ไม่กดดันทั้งแม่เองก็ไม่ต้องมาคาดหวัง เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่อย่าลืมว่าเด็กจะเก็บเอาคำพูดของเราไปคิดทุกคำ และไม่ใช่แค่เรื่องการเรียนเรื่องอื่นๆ ก็เช่นกันนะ


2. เลี้ยงลูกเหมือนเพื่อน เปิดใจคุยกันทุกเรื่อง

          แม่ไข่กับเมลลี่เราใกล้ชิดกันมากเลยค่ะ เราแทบจะไม่ใช่แม่ลูกกันแล้วแต่เราคือเพื่อนสนิทคนหนึ่งของกันและกัน ซึ่งหากเป็นวันที่ลูกไปโรงเรียนก่อนนอนคุณแม่ก็มักจะถามถึงเรื่องราวที่ได้พบเจอมาในโรงเรียน และมักจะย้ำกับลูกเสมอว่า “มีใครแกล้งหนูมั้ย หนูไปแกล้งใครหรือเปล่า” และไม่ลืมที่จะเล่าเรื่องของตัวเองให้ลูกฟังเช่นกันว่าวันนี้แม่ไปทำอะไรมาบ้าง ทำให้ลูกรู้สึกว่าแม่ก็เล่า เราก็เล่า เรามีอะไรก็ต้องเล่าให้กันฟัง พอลูกโตขึ้นทุกวันเราจะได้ปวดหัวน้อยลง (เชื่อว่าต้องมีเรื่องปวดหัวบ้างแหละ) อย่างน้อยมีอะไรลูกก็จะไม่ปิดบังเรา





3. พาลูกออกเดินทางเปิดโลกกว้างให้กับลูก

          การเดินทางไม่ว่าจะในหรือต่างประเทศ จะใกล้หรือไกล ก็มีประโยชน์กับลูกทั้งนั้นค่ะ ช่วยพัฒนาทักษะหลายๆ ด้าน เช่น การช่วยเหลือตัวเองและสังคม พัฒนาด้านกล้ามเนื้อ และอื่นๆ อีกมากมาย โดยที่บางครั้งคุณพ่อคุณแม่เองอาจจะไม่ได้คาดหวังถึงสิ่งนั้น เพียงแต่ต้องการให้ลูกสนุก มีความสุขก็พอจริงมั้ยคะหรือบางทีเราเองนั่นแหละที่อยากเที่ยวแล้วพาลูกไปด้วย แต่รู้หรือไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะค่อยๆ สั่งสมให้กับลูกเรา

แม่ไข่ขอเล่าทริปต่างประเทศที่เราสองคนแม่ลูกเดินทางกันเพียง 2 คนล่าสุดนะคะ ทริปนี้ได้เห็นศักยภาพของลูกเยอะมาก จนลืมไปว่านี่ลูกเราแค่ 8 ขวบเท่านั้น ยิ่งทำให้แม่รู้ว่าลูกแม่เก่งแค่ไหน ทั้งเรื่องช่วยแม่ดูตารางรถไฟ พูดคุยภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติ วางแผนทริปในแต่ละวันเองด้วยซ้ำ เดินเก่งมากในแต่ละวันไม่บ่น มีแต่ความสนุกความเพลิดเพลิน อย่าเพิ่งตัดสินว่าลูกเราแค่ไม่กี่ขวบเองจะจำอะไรได้ จะทำอะไรได้ นี่คือผลของการพาลูกเดินทางตั้งแต่ยังเด็กค่ะ ทำให้ลูกสั่งสมประสบการณ์ทีละเล็กทีละน้อยโดยที่เค้าไม่รู้ตัว


4. จัดสรรเวลาให้เหมาะสมทั้งตัวเองและลูก เพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น

          หลายๆ บ้านจัดสรรเวลาไม่บาลานซ์ อาจจะเพราะเรื่องงานเป็นหลัก บางทีกลับมาบ้านก็เหนื่อยลูกหลับไปแล้วบ้าง แต่อย่าลืมว่าเราสามารถหาเวลาเพียงแค่วันละไม่กี่นาทีพูดคุยกับลูก หรือหากวันธรรมดาไม่มีเวลาจริงๆ อย่าลืมวันหยุดสุดสัปดาห์หาเวลาพาลูกเที่ยว หรือแค่หาเวลาเล่นกับลูกที่บ้านบ้าง แค่นี้ทั้งตัวเราเองและลูกก็จะไม่รู้สึกว่ามีช่องว่างของกันและกันจนเกินไป 

ในส่วนของการให้เวลากับตัวเอง พ่อแม่บางคนอาจจะชอบออกกำลังกาย ดูซีรีส์ ดูหนัง ฟังเพลง หรือการออกไปพบเจอสังสรรค์กับเพื่อนๆ บ้าง อย่าทำให้การมีลูกแล้วเราต้องตัดขาดออกจากสังคมกลุ่มเพื่อน อย่างแม่ไข่เองเดือนละครั้งก็จะขอออกไปทานข้าวกับเพื่อนเม้ามอยบ้างอย่างน้อยสัก 2-3 ชั่วโมง ก็ถือว่าได้บาลานซ์ทั้งชีวิตของตัวเองและลูกด้วย


5. ดูแลตัวเองเพื่อให้อยู่กับลูกไปนานๆ

          ข้อนี้สำคัญมากๆ อย่ามัวแต่ทำงานเยอะๆ หาเงินมากๆ เพื่อจะได้ส่งลูกเรียนสูงๆ เรียนโรงเรียนดีๆ จนลืมดูแลตัวเองทั้งอาหารการกิน การออกกำลังกาย การพักผ่อน ยิ่งเรื่องอาหารการกินยิ่งสำคัญสุดๆ บางทีไม่ได้ทำอาหารทานเองหรือออกไปทานอาหารนอกบ้านก็จะดูว่าถ้าวันไหนทานผักผลไม้สดไม่พอ

ให้ยูนิฟ 100% ช่วยเติมผักผลไม้ต่อวันง่ายๆ และยังช่วยให้เราทานผักได้ครบถึง 400 กรัม ตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ได้อีกด้วย ดื่มยูนิฟ 100% 200ml เท่ากับการกินน้ำผักผลไม้ 200 กรัมแล้วนะ


ยูนิฟเขาคัดสรรผักผลไม้คุณภาพเป็นผักผลไม้ในกลุ่ม Super Food ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก แม่ไข่ชอบ รสผักใบเขียว 🥦🥬 เป็นพิเศษ เพราะเป็นสูตรที่มีคุณค่าจากบร็อคโคลี่ และผักผลไม้สีเขียว อุดมไปด้วยคลอโรฟิลล์ และแมกนีเซียม ซึ่งช่วยขับสารพิษออกจากร่างกาย และมีส่วนช่วยในการบำรุงระบบประสาทและสมองอีกด้วย

และยังมีอีก 3 รสชาติ คือ 🥕🍊 รสแครอท ที่มีคุณค่าจากแครอท และผักผลไม้สีส้ม อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ และซีสูง มีส่วนช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย

🍒🍇 รสมิกซ์เบอร์รี่ ที่มีคุณค่าจากโกจิเบอร์รี่ และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ อุดมไปด้วยวิตามินเอ ซี และอีสูง มีเบต้าแคโรทีน และสารช่วยต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการมองเห็น และบำรุงสายตา และรสสุดท้าย

🍇 รสบีทรูทผสมแครอทม่วง ได้คุณค่าจากบีทรูท ผัก และผลไม้สีม่วง ซึ่งอุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน วิตามินเอ และซีสูง โดยคุณค่าจากบีทรูทจะช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น ช่วยในการต่อต้านอนุมูลอิสระ แถมบีทรูทให้พลังงานสูง เหมาะกับคนที่ชอบออกกำลังกายด้วยค่ะ


นี่คือ 5 เคล็ดลับดีๆ ที่แม่ไข่อยากแชร์ให้คุณแม่ คุณพ่อยุคใหม่ค่ะ แต่แม่ไข่เชื่อว่าแต่ละบ้านมีวิธีการเลี้ยงลูกไม่เหมือนกัน แต่หากตอนนี้กำลังเครียดหรือบาลานซ์ทั้ง 2 อย่างไม่ได้ ก็ลองนำวิธีการของแม่ไข่ไปปรับใช้กันดูได้นะคะ หรือหากคุณพ่อคุณแม่ท่านไหนมีคำแนะนำหรือข้ออื่นๆ อยากเสนอแนะก็สามารถพูดคุยกันได้เลยน้าา 😊

ขอบคุณที่อ่านเรื่องราวสุขภาพ

ENJOY WITH
UNIF FAMILY

เครื่องดื่มยูนิฟแบบไหนที่ใช่คุณ

Unif Online shop

เติมแต้มสุขภาพได้แล้ววันนี้ พร้อมเลือกดูโปรโมชั่น
ที่ Unif Online Shop บน Online Marketplace

ดูโปรโมชั่นทั้งหมด

Reviews
from health member

รีวิวจากสมาชิกเฮลท์คลับ

UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET UNIF HEALTH WALLET

you may want
to read this

เรื่องราวที่เกี่ยวข้อง

แชร์เรื่องราว รับ      40 U-Points